ด้วยพระาชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ ได้แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๑ เกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวมาทำงานและนายจ้าง อันเนื่องมาจากการนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ โดยได้เพิ่มเติมหลักการเกี่ยวกับการให้คนต่างด้าวซึ่งผู้รับอนุญาตฯ หรือนายจ้างได้นำเข้ามาทำงานในประเทศเพื่อทำงานนั้นมีสิทธิที่จะเปลี่ยนนายจ้างก่อนครบสัญญาจ้างไว้เป็นการเฉพาะ
เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมการจัดหางานเป็นไปในแนวทางเดียวกัน กรมการจัดหางานจึงวางแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการเปลี่ยนนายจ้างของคนต่างด้าวที่นำมาทำงานตามบันทึกข้อตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MOU) ดังต่อไปนี้
๑. เมื่อคนต่างด้าวได้แจ้งเปลี่ยนนายจ้างก่อนครบสัญญาจ้าง ไม่ว่านายจ้างรายเดิมจะแจ้งการออกจากงานของคนต่างด้าวหรือไม่ก็ตาม หากปรากฎว่าคนต่างด้าวนั้นเป็นคนต่างด้าวที่นำมาทำงานตาม MOU ให้นายทะเบียนแห่งท้องที่จังหวัดอันเป็นที่ตั้งสถานที่ทำงานปัจจุบันของคนต่างด้าว พิจารณาเปลี่ยนนายจ้างให้คนต่างด้าวดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อคนต่างด้าวนั้นพิสูจน์ให้นายทะเบียนเห็นว่าคนต่างด้าวมีสิทธิที่จะเปลี่ยนนายจ้างตามมาตรา ๕๑ ในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังนี้
(๑) การที่คนต่างด้าวนั้นออกจากงานเนื่องจากความผิดของนายจ้าง เช่น นายจ้างกระทำทารุณกรรมหรือทำร้ายร่างกายลูกจ้าง นายจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้างหรือกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในสภาพแวดล้อมในการทำงานที่อาจทำให้ลูกจ้างได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือสุขอนามัย เป็นต้น และรวมถึงกรณีนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร นายจ้างเสียชีวิต หรือนายจ้างล้มละลาย
(๒) กรณีได้มีการชำระค่าเสียหายให้แก่นายจ้างรายเดิมแล้ว (อันได้แก่ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการนำคนต่างด้าวนั้นมาทำงานโดยคำนาณตามสัดส่วนของระยะเวลาที่คนต่างด้าวนั้นทำงานไปแล้ว) ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่คนต่างด้าวชำระค่าเสียหายเองหรือกรณีที่นายจ้างใหม่หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้ชำระค่าเสียหายก็ตาม โดยมีเอกสารหรือหลักฐานที่แสดงว่านายจ้างรายเดิมได้รับชำระค่าเสียหายแล้ว
ทั้งนี้ หากคนต่างด้าวไม่สามารถพิสูจน์ให้นายทะเบียนเห็นได้ตาม (๑) หรือ (๒) ให้ถือว่าคนต่างด้าวนั้นไม่มีสิทธิเปลี่ยนนายจ้าง
๒. มาตรา ๕๒ แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว ได้กำหนดกรอบระยะเวลาของคนต่างด้าวที่มีสิทธิเปลี่ยนนายจ้างตามข้อ ๑ ไว้ว่าจะต้องทำงานกับนายจ้างรายใหม่ภายในระยะเวลา ๓๐ วัน นับแต่วันที่เลิกทำงานกับนายจ้างรายเดิม ทั้งนี้ หากคนต่างด้าวนั้นเป็นคนต่างด้าวที่นายจ้างเป็นผู้นำเข้ามาทำงานกับตนตามมาตรา ๔๖ นายจ้างรายใหม่จะต้องวางหลักประกันต่ออธิบดีภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่จ้างคนต่างด้าวนั้นด้วย โดยอัตราของหลักประกันของนายจ้างให้เป็นไปตามที่กำหนดในข้อ ๒๒ ของกฎกระทรวงการของอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต และการกำหนดหลักประกันในการนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งยังคงใช้บังคับได้โดยผลของบทเฉพาะกาล มาตรา ๑๔๕ กล่าวคือ กรณีนายจ้างนำคนต่างด้าวมาทำงานไม่เกิน ๙๙ คน ให้วางหลักประกันเป็นจำนวน ๑,๐๐๐ บาทต่อคนต่างด้าว ๑ คน แต่กรณีนายจ้างนำคนต่างด้าวมาทำงานตั้งแต่ ๑๐๐ คนขึ้นไป ให้วางหลักประกันเป็นจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
๓. ในกรณีที่คนต่างด้าวนั้นไม่มีสิทธิเปลี่ยนนายจ้างตามข้อ ๑ หรือไม่ได้ทำงานกับนายจ้างรายใหม่ภายในกำหนดระยะเวลาตามข้อ ๒ ให้ถือว่าใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวดังกล่าวสิ้นสุดลงนับแต่วันที่คนต่างด้าวออกจากงานหรือพ้นกำหนดระยะเวลาที่จะต้องเปลี่ยนนายจ้างตามข้อ ๒ รวมทั้งถือว่าการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าวผู้นั้นเป็นอันสิ้นสุดลงตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และเมื่อการอนุญาตดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุดลงโดยผลของกฎหมาย ให้ผู้รับอนุญาตฯ หรือนายจ้างรายสุดท้ายแล้วแต่กรณี เป็นผู้มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการจัดส่งคนต่างด้าวกลับไปยังประเทศต้นทางตามนัยมาตรา ๕๓ แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว
สำนักงานจัดหางนจังหวัดสมุทรสงคราม
186 หมู่ที่ 3 ถนนเอกชัย ตำบลลาดใหญ่ อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม 75000 กลุ่มงานส่งเสริมการมีงานทำ ติดต่อ 0 3471 4342-3 ต่อ 106 งานควบคุมการทำงานของคนต่างด้าว ติดต่อ 0 3471 4342-3 ต่อ 103,105 ฝ่ายบริหารงานทั่วไป ติดต่อ 0 3471 4342-3 ต่อ 102
สอบถามข้อมูล
skm@doe.go.th
0 3471 4342-3,0 3471 8376,0 3471 4342-3 ต่,0 3471 8376